วันอังคารที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2561

ฟังธรรมไปทำไม

ได้ฟัง
ทรงจำไว้ได้
คล่องปาก
เพ่งตามด้วยใจ
แทงตลอดด้วยดีด้วยทิฏฐิ (หมายถึงด้วยแนวเหตุผล)

ด้วยเหตุเพียงเท่านี้
ยังไม่พึงติดตามศาสดา
เพราะพวกเธอก็ทำเช่นนี้มานานแล้ว

มันไม่ใช่ฟังธรรมมากน้อย
ฟังมา จำได้ พูดก็เป็น พิจารณารู้เหตุรู้ผลของธรรม
แต่ยังมีกิเลส?

การติดตามฟังธรรมศาสดา
เป็นไปเพื่อขัดเกลากิเลสเท่านั้น

ไม่ใช่ติดตามศาสดาเพียงเพื่อ
จะได้พูดได้ จะได้จำได้ จะได้มีข้อมูลเยอะ
จะได้เชื่อมเหตุเชื่อมผลธรรมะหมวดนั้นนี้นู้นไปได้หมด
ความเห็นสอดคล้องไปกับธรรมะ

ปริยัติก็จะส่งมาถึงเท่านี้
เรียกว่าประสบความสำเร็จในการเรียนปริยัติ
หากจบเท่านี้ ยังไม่เรียกว่าสำเร็จประโยชน์ถึงที่สุด

ฟังธรรมเพื่อขัดกิเลส
ต้องฟังกถาที่ขัดกิเลสได้
กิเลสมันก็ละเอียดขึ้นไปเรื่อยๆ

ธรรมที่ฟังมันก็จะละเอียดๆ ขึ้น
ถ้าจะฟังก็ฟังเพื่อขัดเกลากิเลสให้ยิ่งๆ ขึ้น
เดิมอาจฟังกถานี้ขัดได้ ไปๆ มาๆ ไม่ได้ ก็หากถาใหม่

ฟังธรรมเพื่อให้ศีลสมาธิปัญญาเอียงไปได้โดยถูกต้อง
สะดวกแก่การดำเนินของจิตในทางที่จะมีปัญญาเพิ่มขึ้น

จิตโดยธรรมชาติมันก็ดำเนินไปได้ของมัน
แต่ถ้าไปเองบางทีก็อืดอาดหน่อย
ถ้าได้เจอกถาที่สัปปายะ มันก็จะไปได้ง่ายขึ้น
เรียกว่า สัปปายะแก่การเป็นไปของจิต

ฟังธรรมเพื่อความเบื่อหน่ายโดยส่วนเดียว
ถ้าเพลินไปมันก็ไม่พ้น
เบื่อส่วนเดียวเลย เจออะไรเบื่อหมด ไม่ใช่เบื่อโน่น รักนี่

เพื่อความคลายกำหนัด
ฟังแล้วใจคลายออกจากของเดิม
ไม่ใช่ยึดอยู่เท่าเดิม

เพื่อความดับสนิท
ไม่เอามันมาใส่ใจ ไม่อาลัย
อะไรไปแล้ว ก็ดับมันได้ดับจริงๆ

โกรธแล้วก็แล้วไป สนิทไปเลย
ดีแล้วก็แล้วไป สนิทไปเลย
ไม่มีการหยิบมาปรุงต่อ

โดยทั่วไปเกิดแล้วก็ดับ
แต่มักไม่ดับสนิท
ที่ไม่ดับสนิทไม่ใช่เพราะตัวมัน แต่เพราะความยึดถือของเรานั่นแหละ
ไปลากมันขึ้นมาใหม่
มันไปจากเราแล้ว แต่เรายังไม่ไปจากมัน

เพื่อความสงบ

เพื่อความรู้ยิ่ง
แจ่มชัดยิ่งๆ ขึ้น

เพื่อตรัสรู้อริยสัจ

เพื่อนิพพาน

ฟังอะไรก็จะเป็นไปเพื่อย่างนี้แหละ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น